“ดีเจบอย” ยัน ถูก “ชาม” มองหัวจรดเท้าแถมทำหน้าเหวี่ยงใส่ แต่ยอมรับผิดที่ประจานออกสื่อ แฉ อีกฝ่ายพูดไม่หมดทั้งที่เป็นคนโทร.มาเฉ่งกับผู้ใหญ่ของตนแล้วแต่กลับไม่จบเอง บอก รับไม่ได้ถูกด่าไร้จรรยาบรรณ ย้อนถาม นางงามควรมีจรรยาบรรณเหมือนกันหรือเปล่า? แนะ ต่างคนต่างอยู่ ชามก็เอาเวลาไปพัฒนางานแสดง ส่วนตนก็จะกลับไปพัฒนางานดีเจต่อไป โต้เกาะดัง
กลายเป็นศึกเกาเหลาคู่ใหม่อีกแล้ว สำหรับกรณีของอดีตมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปี 2549 “ชาม ไอยวรินทร์ โอสถานนท์” ที่ออกมาโวยว่าถูก “ดีเจบอย ฌาฆฤณ ชุมมิ่ง” แห่งคลื่นเวอร์จิ้น ฮิต พูดออกรายการว่าโดนนางงามคนดังเหวี่ยงใส่ในลิฟท์ จนถูกสาวชามออกมาปฏิเสธว่าไม่เคยทำพฤติกรรมแบบนั้น ก่อนจะจวกดีเจบอยว่าไร้จรรยาบรรณที่ใช้สื่อมาทำให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียง
ซึ่งล่าสุดทางทีมข่าว “บันเทิงASTV ผู้จัดการออนไลน์” ได้ติดต่อสัมภาษณ์กับทาง “ดีเจบอย” ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ โดยเจ้าตัวก็ยืนยันว่า ถูกอีกฝ่ายเหวี่ยงมาจริง โดยเป็นการมองตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ก็ยอมรับว่าพูดออกรายการจริง แต่ไม่ได้เป็นการพูดเชิงให้ร้าย เพราะพูดเชิงสนุกสนานเล่าสู่กันฟังกับดีเจที่จัดคู่กันคือ “นานา ไรบีนา” มากกว่า แต่อย่างไรก็อยากขอโทษที่พูดประจานออกรายการ
“ถ้าพูดถึงเหตุการณ์วันนั้น คนเราถ้ารู้จักกันจะมาเหวี่ยงใส่กันมันก็ไม่ใช่ ก็ถูกแล้วที่น้องบอกว่าไม่รู้จักผม คือเรื่องวันนั้นลิฟท์มันกำลังจะปิด คือลิฟท์ช่อง 3 มันจะมีเซ็นเซอร์ แล้วผมกำลังจะวิ่งขึ้นลิฟท์ ก็มีน้องกับผู้ชายอีกคนนึง ผมไม่พูดถึงก็แล้วกัน แต่อยู่ช่อง 3 เหมือนกัน เขาอยู่กัน 2 คนในลิฟท์ แล้วเซ็นเซอร์มันกำลังจะปิด ผมก็เอามือขวางไว้เพราะผมก็รีบเหมือนกัน แล้วลิฟท์มันก็ดังตึ้ง ซึ่งพอมันดังเขาก็อาจจะตกใจหรืออะไรก็ตามแต่ แล้วเขาก็หันมามองหน้าผม แล้วก็แสดงพฤติกรรมบางอย่างที่ผมคิดว่ามันสมควรแล้วเหรอ”
“แต่ก็เข้าใจว่าน้องเขาอาจจะไม่รู้จักว่าผมคือดีเจบอย ณ เวลานั้น ผมก็รู้สึกแปลกใจนิดนึง ตอนนั้นว่าทำไมเราถึงโดนมองด้วยสีหน้าแบบนั้น แต่ปรากฏก็มาลงที่ชั้น 23 เหมือนกันอีก เพราะอีกคนเขาก็จัดรายการอยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่เป็นอีกสถานีนึง ซึ่งผมเองก็รีบ เขาเองก็จะหาบัตรมาสแกน แต่อาจจะหาในกระเป๋าช้าไปหน่อย ผมก็เลยชิงตัดหน้าสแกนไปก่อน อาจจะเสียมารยาทหรือเปล่า ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ผมก็โดนน้องเขามองอีกรอบนึง ผมก็เลยรู้สึกว่ามันยังไงหรือเปล่า แปลกๆ นะ จริงๆ ผมก็ไม่ได้อะไรนะ แค่มาพูดกับนานาว่าเมื่อกี้พี่โดนเหวี่ยงในลิฟท์ว่ะ”
“ยอมรับว่าผมใช้คำว่าเหวี่ยง แต่คำว่าเหวี่ยงในความรู้สึกผม ตอนนั้นคือเขามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า และทำหน้าแบบเหย่ๆ ผมก็ไม่รู้จะใช้ศัพท์คำไหนดี ณ เวลานั้น ผมก็เอามาพูดแซวกับนานาในรายการแต่เป็นการพูดที่น้ำหนักมันเบามาก เป็นอารมณ์ที่ค่อนข้างจะสนุกสนานเฮฮามากกว่า แต่ผมไม่ได้พูดชื่อนะ ผมพูดแค่ว่านางร้ายเพราะผมจำผิดคนด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็มานึกขึ้นได้ ก็พูดว่านางงามนี่นา”
“แต่เป็นการเล่าสู่กันฟังกับนานา เพราะว่าเวลาลงไปเจอนักข่าวหรือเจอดาราช่อง 3 ผมก็กลับมาเล่า เอามาแซว เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผม เพราะเขารู้ว่าสไตล์การจัดรายการของผมเป็นสไตล์แบบนี้อยู่แล้ว ไม่ได้ประสงค์ร้าย แต่ต้องยอมรับว่าสำหรับกรณีของน้อง มันอาจจะเป็นเชิงลบนิดนึงในประเด็นที่เราหยิบมาพูด แต่ในใจเราไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้เสียหายขนาดนั้น ไม่ได้ใช้คำว่าด่าเลย จะเป็นแนวหยิกแกมหยอกมากกว่า”
“แต่ทั้งหมดทั้งมวลผมก็ผิดเพราะผมเป็นผู้ชาย นั่นคือสิ่งที่เป็นการพลาดสำหรับผมก็แล้วกัน แล้วก็ขอยอมรับผิดตรงนี้ แล้วถ้าเกิดน้องเขาฟังอยู่หรือแฟนคลับของน้องเขาได้อ่านข่าวนี้ ผมก็ต้องขอโทษ ถึงน้องเขาจะบอกว่าไม่ต้องขอโทษหรอก ไม่รู้จักกัน แต่ตอนนี้รู้จักกันแล้ว ก็ขอโทษด้วยก็แล้วกันครับ แต่ยืนยันว่าไม่ได้เอ่ยชื่อนะ แต่ผมก็ยืดอกรับเลยนะ เด็กใต้ใจเต็ม ทำผิดก็ต้องกล้ายอมรับผิด อาจจะพูดแซวแรงไปนิดนึง ผมก็ยังใช้คำว่าแซวแรงไปนิดนึง”
“แต่ในส่วนที่น้องเขาพูดว่าผมพูดถึงนางเอกเอ็มวีของปนัดดา เรืองวุฒิ อันนั้นผมพูดจริง ผมยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าผมพูดจริง แต่สิ่งที่ผมพูดในวันนั้นผมจำไม่ได้ว่าผมพูดว่าอะไร แต่ถ้าเกิดย้อนกลับไปแก้ไขได้ ผมจะย้อนกลับ แต่นี่มันแก้ไขไม่ได้แล้ว ผมก็เลยต้องบอกว่าผมต้องขอโทษน้องก็แล้วกันที่พูดพาดพิงให้น้องรู้สึกว่าน้องไม่สบายใจ แต่อยากจะพูดจากใจเหมือนกันว่า ผมก็ไม่ได้เจตนาประสงค์ร้ายถึงขนาดนั้น”
เผย “ชาม” ไม่ยอมพูดถึงเรื่องที่โทร.มาเม้งกับผู้ใหญ่ทางฝั่งตนออกสื่อบ้าง ทั้งๆ ที่บอกว่าเคลียร์จบไปแล้ว แต่ตัวเองกลับทำให้เรื่องไม่จบ บอก อย่างนี้แสดงว่าไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่ฝั่งตนเลย
“ผมได้ดูคลิปและฟังสัมภาษณ์ของน้องเขาแล้ว ผมก็เกิดอาการงง และไม่ใช่ผมงงคนเดียว ผู้ใหญ่ทางฝั่งผมก็งงเหมือนกัน เพราะน้องเขาบอกว่าเขาไม่ต้องการคำขอโทษ เพราะว่าเราไม่รู้จักกัน ทีนี้ทางผมก็งงว่าเอ๊ะไม่ต้องการคำขอโทษ ไม่รู้จักกัน แล้วทำไมน้องเขาเป็นคนยกหูโทร.มาหาผู้ใหญ่ทางฝั่งผม โทร.มาหาเจ้านายทางฝั่งผมเองว่าคุณต้องเคลียร์นะ คุณต้องคุยกับลูกน้องทางฝั่งคุณหน่อยนะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไปพูดพาดพิงถึงเขา แต่ประเด็นนี้น้องเขาไม่ได้พูดตอนสัมภาษณ์นักข่าว ผมก็เลยคิดว่า ถ้านักข่าวคนไหนเจอก็ลองถามน้องเขาดูว่าน้องเขาเป็นคนยกหูโทร.มาหาผู้ใหญ่ฝั่งผมหรือเปล่า”
“ผมก็คิดว่ามันน่าจะจบตั้งแต่ตอนที่ผู้ใหญ่เขาเคลียร์กับผมแล้ว คือผู้ใหญ่เขามาคุยกับผม เล่าให้ฟังว่าน้องเขาโทร.มาบอกว่าอย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งประเด็นที่คุยก็แรงพอสมควรอยู่ ผมก็ไม่อยากจะพูดเพราะถ้าไปพูดมันจะไปต่อความยาวสาวความยืด ผมก็คิดว่าเคลียร์กันแล้ว จบกันแล้ว บอกว่าไม่พูดถึงน้องอีกแล้ว และน้องให้ขอโทษน้อง ผมก็ขอโทษน้องนะ ผมก็เชื่อฟังผู้ใหญ่ เพราะผมมีสังกัดมีผู้ใหญ่ผมก็ต้องเชื่อ ก็โอเคจบกันไปเราจะไม่พูดถึง เราจะไม่พาดพิงประเด็นนี้อีก แล้วอยู่มาวันนึงน้องมาให้สัมภาษณ์แบบนี้ ผมก็เลยงงว่าสรุปแล้วมันยังไงกันแน่ ผู้ใหญ่ฝั่งผมก็งงว่าไม่จบเหรอ ก็เคลียร์กันแล้วนี่”
“ผมกลัวนะครับ ถ้าผู้ใหญ่ผมจะมองว่าน้องไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่ทางฝั่งเราหรือเปล่า ผมก็มีสังกัดนะ ผู้ใหญ่ทางเวอร์จิ้นเขาก็มองประเด็นนี้อยู่ แต่พอเหตุการณ์มันเกิดขึ้น น้องเขาให้สัมภาษณ์มีข่าวออกไป ตอนนั้นผมยังไม่รู้เรื่อง แต่มีคนส่งมาให้ในเฟซบุ๊คแล้วก็โพสต์มาให้ทางทวิตเตอร์ ผมยังไม่เห็นเนื้อข่าวอะไรมากมาย ผมก็โทร.กลับไปหาทางผู้ใหญ่ ทางผู้ใหญ่เขาก็งงว่าไหนบอกว่าเคลียร์กันจบแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วอยู่ดีๆ ทำไมเกิดเหตุการณ์ประเด็นนี้ขึ้นมา ผมก็ถามว่าจะให้ผมทำยังไง เพราะผมโดนยับมาก พอไปอ่านในอินเตอร์เน็ตโอ้โหโดนยับมากๆ เลย”
“ผู้ใหญ่เขาก็บอกว่าถ้ามีโอกาสได้สัมภาษณ์ หรือถ้ามีโอกาสพูดตอบโต้ไป ก็พูดในส่วนของตัวเราเอง แต่อย่าลืมให้เกียรติน้องเขาด้วย เพราะยังไงน้องเขาก็เป็นผู้หญิง และผมเป็นผู้ชาย จะมาทะเลาะกับผู้หญิงมันก็ไม่ใช่ ซึ่งผมก็คิดมาตั้งแต่แรกแล้วว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทำไมถึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ จริงๆ ผมว่ามันน่าจะจบตอนน้องยกหูโทร.คุยกับผู้ใหญ่แล้วอย่างนั้นมากกว่า แต่พอมาให้ข่าวแบบนี้มันก็เอ๊ะดูเหมือนไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่ทางฝั่งผมหรือเปล่า อันนี้คือสิ่งที่ผมอยากจะพูดบ้าง”
เชื่อ “ชาม” คงได้รับฟังข่าวมาแบบผิดเพี้ยนไปจากเดิม เพราะเหตุการณ์นี้ผ่านมาเป็นปีแล้วจริงๆ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีการเอามาพูดจนเป็นข่าวอย่างนี้อีก
“ผมยอมรับว่าผมผิดจริงนะ แต่ถ้าเกิดน้องเขาบอกว่า เขาเป็นแฟนรายการของผมมาตั้งแต่อยู่ไฮสคูล ตั้งแต่เด็กๆ น้องจะไม่รู้เชียวหรือว่าลักษณะการจัดรายการ การพูดคุยอะไรของผมมันเป็นยังไง ผมก็แค่แซว แต่อาจจะแซวแรงไปนิดนึงก็ไม่แน่ใจ อารมณ์ส่วนนั้นมันอาจจะพาไป แต่ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายพูดพาดพิงให้น้องเขาเสียหาย หรือว่าทำให้น้องเขาเจ็บช้ำน้ำใจอะไรเลย แต่ที่ผมฟังน้องเขาพูด น้องเขาอาจจะได้ยินมาจากแฟนคลับเขา อ่านจากทวิตเตอร์ แล้วมันอาจจะมีการแปลงสาร อาจจะมีการสื่อสารที่มันผิดเพี้ยนไปแล้ว แต่จริงๆ แล้วผมไม่ได้ต้องการให้มันเป็นประเด็นให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียงอะไรมากมายขนาดนั้นเลย มันเป็นการพูดขำๆ พูดแซวๆ”
“ซึ่งมันไม่ใช่เป็นประเด็นใหญ่ ถ้าเกิดว่าน้องได้ฟังจากหูน้องจริงๆ ไม่ใช่ฟังมาจากแฟนคลับหรือไปอ่านตามเว็บบอร์ด หรือใครที่เข้าไปโพสต์อย่างนั้นมากกว่า แต่ยังไงก็ตามแต่มันไม่ใช่ประเด็นครับ สุดท้ายแล้วผมก็เป็นผู้ชายแล้วเขาเป็นผู้หญิง หน้าที่ของผู้ชายก็คือต้องให้เกียรติผู้หญิงอยู่ดี ผมก็อยากให้จบตรงนี้ จริงๆ มันน่าจะจบตั้งแต่น้องยกหูโทร.คุยกับผู้ใหญ่แล้ว มันไม่น่าจะยืดเยื้อจนมีข่าวเป็นที่รู้กันในวงกว้างขนาดนี้ ซึ่งผมก็จบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และผมก็ไม่รู้ว่าข่าวนี้ใครเป็นคนหยิบขึ้นมาพูด ใครเป็นคนหยิบไปบอกนักข่าว อันนี้ผมไม่แน่ใจ ก็ให้คนที่ฟังสัมภาษณ์ของผมลองไปคิดดูเองก็แล้วกัน ว่ามันน่าจะมาจากตรงไหนมากกว่ากัน”
“แต่เหตุการณ์นี้ก็เหมือนที่น้องพูดคือผ่านมาปีกว่าๆ แล้ว แต่มันเพิ่งจะมีข่าวเมื่อไม่กี่วันนี่เอง ถ้าถามผมว่าทำไมถึงเพิ่งมีข่าว ผมคิดว่าอาจจะเป็นที่มีคนเข้าไปคุยกันในอินเตอร์เน็ตหรืออะไรก็ตามแต่อย่างนั้นมากกว่า ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมมันถึงมาแดงตอนนี้ทั้งๆ ที่มันนานมากแล้วจริงๆ ครับ แล้วประเด็นนี้รู้กันวงแคบมาก ผมว่านักข่าวไม่มีทางรู้หรอก นี่ผมก็ยังนั่งคิดอยู่เหมือนกันว่าใครเป็นคนบอกนักข่าว และข่าวนี้เกิดขึ้นมามันเพราะอะไรกันแน่ อันนี้ก็คงต้องให้คุณผู้ชม ผู้ฟังตัดสินใจกันเอาเองแล้วกันว่ามันยังไง”
“ผมยอมรับว่าผมเองก็มีโพสต์ระบายในทวิตเตอร์บ้างครับ แต่อาจจะคุยกับเพื่อนมากกว่า แต่ข้อความที่มันเป็นการอ่านประโยคหรือวลีบอกเล่ากับน้ำเสียงเวลาที่เรามีอารมณ์มันต่างกันมาก เพราะฉะนั้นเรื่องของทวิตเตอร์ผมว่าน่าจะเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นและน้ำหนักกันมากกว่า ทีนี้ก็เป็นบทเรียนสอนใจผมว่าผมก็ต้องระวังในเรื่องของคำพูดของผมเหมือนกัน ถ้ามาถึงจุดนี้แล้ว เพราะผมทำงานเป็นดีเจอยู่ที่นี่มาจะ 10 ปีอยู่แล้ว ผมไม่เคยมีปัญหากับใครเลย ผมไม่ใช่ดารา ผมเป็นแค่ดีเจ เพราะฉะนั้นผมมองว่าการที่มีเหตุการณ์นี้ก็ให้คุณผู้ชม คุณผู้ฟังตัดสินใจกันเอาเองก็แล้วกันว่าเหตุการณ์จริงๆ มันเป็นยังไง เพราะลำพังผมแล้วผมไม่เคยมีปัญหากับใครเลยตั้งแต่อยู่วงการนี้มา 10 ปี”
“แต่ผมก็รู้สึกเสียใจนิดนึงเกี่ยวกับข่าวที่พาดหัวมา ผมตกใจมากก็คือจั่วว่าผมไร้จรรยาบรรณ ซึ่งผมก็ทำอาชีพนี้มาตั้งแต่ผมยังเด็ก 17 ปีแล้ว คำว่าจรรยาบรรณกับวิชาชีพผมรู้สึกว่ามันหนักนะสำหรับผม เพราะผมก็นั่งตรงนี้มานานมากแล้ว จรรยาบรรณกับนักวิชาชีพการจัดรายการมันค่อนข้างจะซีเรียสนิดนึงสำหรับผม คำนั้นแหละที่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้วนะ แล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นการให้ข่าวฝ่ายเดียวและไม่มีสิทธิ์ตอบโต้สำหรับผม”
“แต่มาดูอีกทีนึงน้องไปให้สัมภาษณ์นักข่าวอย่างนั้น ผมก็มีสิทธิ์ตอบโต้เหมือนกัน เพราะว่าจรรยาบรรณมันมีหลายรูปแบบ จรรยาบรรณกับวิชาชีพดีเจโอเคน้องพูดอย่างนั้นถูก แต่ว่าจรรยาบรรณอย่างอื่นล่ะครับ นางงามต้องมีจรรยาบรรณไหมครับ หรือว่าดารา หรืออะไรทุกอย่างก็ต้องมีจรรยาบรรณเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
ยืนยันไม่คิดเกาะกระแสอีกฝ่ายดัง เพราะตนก็เป็นแค่ดีเจ และคิดว่าเหมาะกับอาชีพนี้ที่สุดแล้ว บอกต่างคนต่างเอาเวลาไปพัฒนาฝีมือด้านของตนดีกว่า
“แต่ถามว่าผมอยากจะเกาะกระแสน้องดังหรือเปล่า ผมก็รู้ว่าทุกคนต้องถามแน่ๆ แต่ผมอยากจะบอกว่าผมเป็นแค่ดีเจ ผมไม่ได้เป็นเซเลบ ไม่ได้เป็นดารา ไม่ได้เป็นนักร้อง การมีข่าวกับผู้หญิงแน่นอนว่าผมเสียเปรียบอยู่แล้วเพราะผมเป็นผู้ชาย ยังไงผมก็ต้องโดนหนักอยู่แล้วว่าทำไมไม่ให้เกียรติผู้หญิง ทีนี้ผมจะดังไปเพื่ออะไรล่ะครับ”
“ผมว่าผมเป็นดีเจดีที่สุดและเหมาะกับผมมากที่สุดแล้วเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมว่าเรามาเป็นเกาเหลาคนละชามกันดีกว่าไหม น้องก็เป็นในส่วนของน้อง น้องไปพัฒนาการแสดงของน้องให้ดีๆ กว่า ส่วนผมก็ไปพัฒนาการเป็นดีเจของผมให้ดีๆ กว่า ผลประโยชน์จะได้ตกอยู่ที่คนฟังและคนชม จะได้รู้สึกว่าแต่ละคนก็คืนกำไรคืนความสุขให้คนฟัง ผมว่ามองไปที่ประเด็นนั้นดีกว่า จะมามองว่าผมอยากเกาะกระแสน้องดัง เฮ้ย มันไม่ใช่นะ”
“แต่ถ้าบทสัมภาษณ์ของผมออกไป แล้วน้องเขามีการตอบโต้กลับมา คือน้องเขาบอกว่ามันจบแล้วไม่ใช่เหรอครับ ผมก็แค่ได้พูดในส่วนของผมแค่นี้ก็พอแล้วเหมือนกัน เพราะผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่างจากน้องเขามากมายเหมือนกัน แต่อาจจะมีบางอย่างที่น้องเขาพูดไม่หมด เช่นมันน่าจะจบแต่น้องก็ไม่จบ แล้วทำไมถึงต้องพูดกับสื่อทั้งๆ ที่คุยกับผู้ใหญ่แล้ว ก็ให้เกียรติผู้ใหญ่ผมหน่อย อันนี้คือสิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญ เพราะผมก็ต้องให้เกียรติผู้ใหญ่ผมด้วย ผมต้องคุยกับผู้ใหญ่ คุยกับเจ้านายผมเหมือนกันครับ”
“ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมเป็นช่วงราหูอมหรือเปล่าไม่แน่ใจเหมือนกัน(หัวเราะ) เพราะช่วงนี้นานาเขาไปเยี่ยมคุณพ่อเวย์ที่ต่างประเทศพอดี ผมก็เลยหัวเดียวกระเทียมลีบเลย ลำพังผมเป็นดีเจตัวเล็กๆ ครับ ไม่รู้จักใครหรอก นักข่าวผมก็ไม่รู้จัก นอกจากมีติดต่อเข้ามาก็ได้คุยกันบ้างผมก็รู้สึกดี เพราะถ้าจะให้ผมไปหานักข่าวบันเทิงผมก็ไม่รู้จักใคร ผมก็แค่ดีเจบอยคนนึงที่จัดรายการอยู่ที่ 95.5 เวอร์จิ้น ฮิตเท่านั้นเอง ไม่มีเส้น ไม่มีสาย ไม่มีอะไรเลย ช่วงนี้ก็เลยไม่ค่อยได้คุยกับนานามากเพราะเขาอยู่ต่างประเทศ แต่กลับมาก็คงจะได้อัพเดทกันมากขึ้น”
“แต่ตอนที่น้องเขายกหูมาคุยกับผู้ใหญ่ ตอนนั้นได้คุยกับนานา นานาเขาก็บอกว่าต้องทำตามผู้ใหญ่ เพราะต้องเคารพกฎระเบียบของที่นี่ด้วยเหมือนกัน เหมือนนานาเป็นตัวกลางก็ได้ เพราะนานาเขาก็เข้าใจเพราะวันที่เกิดเรื่องขึ้นปุ๊บผมก็เข้าไปคุยกับนานา ก็ยังหัวเราะสนุกสนานกันอยู่เลย ก็พูดได้ว่านานาเป็นพยานให้ผมได้ พูดได้เต็มปากเลยร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกันครับ ว่านานาเป็นพยานให้ผมได้เหมือนกันว่าเหตุการณ์ทั้งหมดมันเกิดอะไรขึ้น”
เผย หลังจากเหตุการณ์วันนั้นก็ไม่ได้เจอกับ “ชาม” อีกเลยแม้ว่าจะทำงานอยู่ตึกเดียวกันก็ตาม แต่บอกถ้าเจอก็พร้อมเข้าไปขอโทษโดยตรง
“แต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้นก็ไม่ได้เจอน้องเขาอีกเลยครับ เพราะผมก็คิดว่ามันจบแล้วไง แต่ปรากฏ อ้าว วันนึงเซอร์ไพรส์เขาให้สัมภาษณ์สื่อ ผมก็เลยงง ก็ฝากไว้ด้วยว่าให้เกียรติผู้ใหญ่ของผมนิดนึง แต่ถ้าบังเอิญเจอกันก็ไม่เป็นไรครับ บอกแล้วว่ารู้จักกันแล้ว ผมเป็นผู้ชาย น้องเขาเป็นผู้หญิง จะให้ผมขอโทษน้องผมก็กล้านะ ผมก็ต้องพูดว่าขอโทษครับ ที่ผ่านมาผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ ที่จะทำให้น้องรู้สึกเสื่อมเสียหรืออะไรก็ตามแต่ ผมก็ต้องพูดคำว่าขอโทษอยู่ดีครับ”
“แต่ถามว่า คิดว่าน้องเขาปั่นกระแสหรือเปล่า อันนี้ผมไม่พูดดีกว่า ให้คุณผู้ชมเป็นคนตัดสินใจกันเอง เพราะนี่เป็นเรื่องที่รู้กันเล็กๆ ในวงแคบและมันควรจะจบแล้ว แต่ว่าผมดูในคลิปและนักข่าวเป็นคนยื่นสัมภาษณ์น้องเขา แต่ผมไม่รู้ว่านักข่าวรู้มาจากไหน รู้มาได้ยังไง ผมก็ยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์เหมือนกันว่าไม่ได้มาจากฝั่งผมแน่ๆ เพราะว่าผมก็คุยกับผู้ใหญ่ของผมแล้วเหมือนกัน อันนี้คุณผู้ชมก็ไปคิดกันเอาเองแล้วกันนะ ว่ามันน่าจะหลุดมาจากฝั่งไหน แต่ผมยืนยันว่าไม่ใช่ฝั่งผม”
“ฟีดแบคก็มีทางทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คที่เข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะปกติผมไม่เป็นข่าวอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นข่าว ผมเป็นแค่ดีเจตัวเล็กๆ คนนึงที่จัดรายการอยู่ที่นี่ ไม่มีทางจะไปวีนใคร ไม่มีทางจะไปเหวี่ยงใคร ไม่มีทางจะไปเป็นข่าวกับใครแน่ๆ แล้วอยู่ดีๆ ก็มาเกิดขึ้นกับผม ผมก็ได้แต่งงอย่างเดียว เรื่องนี้ก็ต้องพูดวกกลับไปที่เดิมคือเคลียร์แล้ว จบแล้ว แต่ทำไมถึงเป็นข่าว นี่คือสิ่งที่ผมคิดและงงซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ตอนนั้นก็มีคนทวิตมาหาผม แต่ผมก็ยังไม่ได้อัพเดทข่าวที่มันชัดเจนอะไรมากมายนัก ณ เวลานั้นน่ะครับ”
“ก็ได้กำลังใจเยอะจากในทวิตเตอร์ของผมนะครับ เพราะผมคงเป็นคนซื่อๆ มั้ง ไม่น่าจะมีเรื่องกับใคร แฟนคลับก็เข้าใจ และแฟนคลับที่ฟังผมอยู่ทุกวันก็เข้าใจบุคลิกของผม เข้าใจความเป็นตัวตนของผมทุกอย่างว่าผมเป็นคนยังไง ก็เซอร์ไพรส์เหมือนกันว่าเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกับดีเจบอย แต่ต่อไปนี้ก็อาจจะระวังคำพูดมากขึ้น ก็ฝากด้วยแล้วกันว่าเด็กใต้อย่างผมก็ใจเต็มขนาดนี้ ไอ้เรื่องจะไปเหวี่ยงใคร จะไปวีนใครอะไรมากมาย แต่ก็ต้องระวังคำพูดให้มากขึ้น นี่คือบทเรียนชิ้นใหญ่ของผมเลยทีเดียว”
“ถ้าเกิดกลับไปแก้ได้ก็อยากจะกลับไปแก้ แต่มันแก้ไม่ได้แล้ว ถ้าผมพูดอะไรออกไปแล้วรู้สึกกระทบกระเทือน หรือพาดพิงถึงน้องเขาให้น้องเขาไม่สบายใจ ผมก็ขอโทษไว้ ณ ตรงนี้ก็แล้วกัน ถึงแม้น้องจะย้ำชัดว่าไม่ต้องขอโทษเพราะเราไม่รู้จักกัน ก็ย้ำเหมือนกันว่าตอนนี้รู้จักกันแล้วเนอะ(ยิ้ม)”
“ดีเจบอย” ยัน ถูก “ชาม” มองหัวจรดเท้าแถมทำหน้าเหวี่ยงใส่ แต่ยอมรับผิดที่ประจานออกสื่อ แฉ อีกฝ่ายพูดไม่หมดทั้งที่เป็นคนโทร.มาเฉ่งกับผู้ใหญ่ของตนแล้วแต่กลับไม่จบเอง บอก รับไม่ได้ถูกด่าไร้จรรยาบรรณ ย้อนถาม นางงามควรมีจรรยาบรรณเหมือนกันหรือเปล่า? แนะ ต่างคนต่างอยู่ ชามก็เอาเวลาไปพัฒนางานแสดง ส่วนตนก็จะกลับไปพัฒนางานดีเจต่อไป โต้เกาะดัง
กลายเป็นศึกเกาเหลาคู่ใหม่อีกแล้ว สำหรับกรณีของอดีตมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สปี 2549 “ชาม ไอยวรินทร์ โอสถานนท์” ที่ออกมาโวยว่าถูก “ดีเจบอย ฌาฆฤณ ชุมมิ่ง” แห่งคลื่นเวอร์จิ้น ฮิต พูดออกรายการว่าโดนนางงามคนดังเหวี่ยงใส่ในลิฟท์ จนถูกสาวชามออกมาปฏิเสธว่าไม่เคยทำพฤติกรรมแบบนั้น ก่อนจะจวกดีเจบอยว่าไร้จรรยาบรรณที่ใช้สื่อมาทำให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียง
ซึ่งล่าสุดทางทีมข่าว “บันเทิงASTV ผู้จัดการออนไลน์” ได้ติดต่อสัมภาษณ์กับทาง “ดีเจบอย” ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ โดยเจ้าตัวก็ยืนยันว่า ถูกอีกฝ่ายเหวี่ยงมาจริง โดยเป็นการมองตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ก็ยอมรับว่าพูดออกรายการจริง แต่ไม่ได้เป็นการพูดเชิงให้ร้าย เพราะพูดเชิงสนุกสนานเล่าสู่กันฟังกับดีเจที่จัดคู่กันคือ “นานา ไรบีนา” มากกว่า แต่อย่างไรก็อยากขอโทษที่พูดประจานออกรายการ
“ถ้าพูดถึงเหตุการณ์วันนั้น คนเราถ้ารู้จักกันจะมาเหวี่ยงใส่กันมันก็ไม่ใช่ ก็ถูกแล้วที่น้องบอกว่าไม่รู้จักผม คือเรื่องวันนั้นลิฟท์มันกำลังจะปิด คือลิฟท์ช่อง 3 มันจะมีเซ็นเซอร์ แล้วผมกำลังจะวิ่งขึ้นลิฟท์ ก็มีน้องกับผู้ชายอีกคนนึง ผมไม่พูดถึงก็แล้วกัน แต่อยู่ช่อง 3 เหมือนกัน เขาอยู่กัน 2 คนในลิฟท์ แล้วเซ็นเซอร์มันกำลังจะปิด ผมก็เอามือขวางไว้เพราะผมก็รีบเหมือนกัน แล้วลิฟท์มันก็ดังตึ้ง ซึ่งพอมันดังเขาก็อาจจะตกใจหรืออะไรก็ตามแต่ แล้วเขาก็หันมามองหน้าผม แล้วก็แสดงพฤติกรรมบางอย่างที่ผมคิดว่ามันสมควรแล้วเหรอ”
“แต่ก็เข้าใจว่าน้องเขาอาจจะไม่รู้จักว่าผมคือดีเจบอย ณ เวลานั้น ผมก็รู้สึกแปลกใจนิดนึง ตอนนั้นว่าทำไมเราถึงโดนมองด้วยสีหน้าแบบนั้น แต่ปรากฏก็มาลงที่ชั้น 23 เหมือนกันอีก เพราะอีกคนเขาก็จัดรายการอยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่เป็นอีกสถานีนึง ซึ่งผมเองก็รีบ เขาเองก็จะหาบัตรมาสแกน แต่อาจจะหาในกระเป๋าช้าไปหน่อย ผมก็เลยชิงตัดหน้าสแกนไปก่อน อาจจะเสียมารยาทหรือเปล่า ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ผมก็โดนน้องเขามองอีกรอบนึง ผมก็เลยรู้สึกว่ามันยังไงหรือเปล่า แปลกๆ นะ จริงๆ ผมก็ไม่ได้อะไรนะ แค่มาพูดกับนานาว่าเมื่อกี้พี่โดนเหวี่ยงในลิฟท์ว่ะ”
“ยอมรับว่าผมใช้คำว่าเหวี่ยง แต่คำว่าเหวี่ยงในความรู้สึกผม ตอนนั้นคือเขามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า และทำหน้าแบบเหย่ๆ ผมก็ไม่รู้จะใช้ศัพท์คำไหนดี ณ เวลานั้น ผมก็เอามาพูดแซวกับนานาในรายการแต่เป็นการพูดที่น้ำหนักมันเบามาก เป็นอารมณ์ที่ค่อนข้างจะสนุกสนานเฮฮามากกว่า แต่ผมไม่ได้พูดชื่อนะ ผมพูดแค่ว่านางร้ายเพราะผมจำผิดคนด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็มานึกขึ้นได้ ก็พูดว่านางงามนี่นา”
“แต่เป็นการเล่าสู่กันฟังกับนานา เพราะว่าเวลาลงไปเจอนักข่าวหรือเจอดาราช่อง 3 ผมก็กลับมาเล่า เอามาแซว เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผม เพราะเขารู้ว่าสไตล์การจัดรายการของผมเป็นสไตล์แบบนี้อยู่แล้ว ไม่ได้ประสงค์ร้าย แต่ต้องยอมรับว่าสำหรับกรณีของน้อง มันอาจจะเป็นเชิงลบนิดนึงในประเด็นที่เราหยิบมาพูด แต่ในใจเราไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้เสียหายขนาดนั้น ไม่ได้ใช้คำว่าด่าเลย จะเป็นแนวหยิกแกมหยอกมากกว่า”
“แต่ทั้งหมดทั้งมวลผมก็ผิดเพราะผมเป็นผู้ชาย นั่นคือสิ่งที่เป็นการพลาดสำหรับผมก็แล้วกัน แล้วก็ขอยอมรับผิดตรงนี้ แล้วถ้าเกิดน้องเขาฟังอยู่หรือแฟนคลับของน้องเขาได้อ่านข่าวนี้ ผมก็ต้องขอโทษ ถึงน้องเขาจะบอกว่าไม่ต้องขอโทษหรอก ไม่รู้จักกัน แต่ตอนนี้รู้จักกันแล้ว ก็ขอโทษด้วยก็แล้วกันครับ แต่ยืนยันว่าไม่ได้เอ่ยชื่อนะ แต่ผมก็ยืดอกรับเลยนะ เด็กใต้ใจเต็ม ทำผิดก็ต้องกล้ายอมรับผิด อาจจะพูดแซวแรงไปนิดนึง ผมก็ยังใช้คำว่าแซวแรงไปนิดนึง”
“แต่ในส่วนที่น้องเขาพูดว่าผมพูดถึงนางเอกเอ็มวีของปนัดดา เรืองวุฒิ อันนั้นผมพูดจริง ผมยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าผมพูดจริง แต่สิ่งที่ผมพูดในวันนั้นผมจำไม่ได้ว่าผมพูดว่าอะไร แต่ถ้าเกิดย้อนกลับไปแก้ไขได้ ผมจะย้อนกลับ แต่นี่มันแก้ไขไม่ได้แล้ว ผมก็เลยต้องบอกว่าผมต้องขอโทษน้องก็แล้วกันที่พูดพาดพิงให้น้องรู้สึกว่าน้องไม่สบายใจ แต่อยากจะพูดจากใจเหมือนกันว่า ผมก็ไม่ได้เจตนาประสงค์ร้ายถึงขนาดนั้น”
เผย “ชาม” ไม่ยอมพูดถึงเรื่องที่โทร.มาเม้งกับผู้ใหญ่ทางฝั่งตนออกสื่อบ้าง ทั้งๆ ที่บอกว่าเคลียร์จบไปแล้ว แต่ตัวเองกลับทำให้เรื่องไม่จบ บอก อย่างนี้แสดงว่าไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่ฝั่งตนเลย
“ผมได้ดูคลิปและฟังสัมภาษณ์ของน้องเขาแล้ว ผมก็เกิดอาการงง และไม่ใช่ผมงงคนเดียว ผู้ใหญ่ทางฝั่งผมก็งงเหมือนกัน เพราะน้องเขาบอกว่าเขาไม่ต้องการคำขอโทษ เพราะว่าเราไม่รู้จักกัน ทีนี้ทางผมก็งงว่าเอ๊ะไม่ต้องการคำขอโทษ ไม่รู้จักกัน แล้วทำไมน้องเขาเป็นคนยกหูโทร.มาหาผู้ใหญ่ทางฝั่งผม โทร.มาหาเจ้านายทางฝั่งผมเองว่าคุณต้องเคลียร์นะ คุณต้องคุยกับลูกน้องทางฝั่งคุณหน่อยนะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไปพูดพาดพิงถึงเขา แต่ประเด็นนี้น้องเขาไม่ได้พูดตอนสัมภาษณ์นักข่าว ผมก็เลยคิดว่า ถ้านักข่าวคนไหนเจอก็ลองถามน้องเขาดูว่าน้องเขาเป็นคนยกหูโทร.มาหาผู้ใหญ่ฝั่งผมหรือเปล่า”
“ผมก็คิดว่ามันน่าจะจบตั้งแต่ตอนที่ผู้ใหญ่เขาเคลียร์กับผมแล้ว คือผู้ใหญ่เขามาคุยกับผม เล่าให้ฟังว่าน้องเขาโทร.มาบอกว่าอย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งประเด็นที่คุยก็แรงพอสมควรอยู่ ผมก็ไม่อยากจะพูดเพราะถ้าไปพูดมันจะไปต่อความยาวสาวความยืด ผมก็คิดว่าเคลียร์กันแล้ว จบกันแล้ว บอกว่าไม่พูดถึงน้องอีกแล้ว และน้องให้ขอโทษน้อง ผมก็ขอโทษน้องนะ ผมก็เชื่อฟังผู้ใหญ่ เพราะผมมีสังกัดมีผู้ใหญ่ผมก็ต้องเชื่อ ก็โอเคจบกันไปเราจะไม่พูดถึง เราจะไม่พาดพิงประเด็นนี้อีก แล้วอยู่มาวันนึงน้องมาให้สัมภาษณ์แบบนี้ ผมก็เลยงงว่าสรุปแล้วมันยังไงกันแน่ ผู้ใหญ่ฝั่งผมก็งงว่าไม่จบเหรอ ก็เคลียร์กันแล้วนี่”
“ผมกลัวนะครับ ถ้าผู้ใหญ่ผมจะมองว่าน้องไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่ทางฝั่งเราหรือเปล่า ผมก็มีสังกัดนะ ผู้ใหญ่ทางเวอร์จิ้นเขาก็มองประเด็นนี้อยู่ แต่พอเหตุการณ์มันเกิดขึ้น น้องเขาให้สัมภาษณ์มีข่าวออกไป ตอนนั้นผมยังไม่รู้เรื่อง แต่มีคนส่งมาให้ในเฟซบุ๊คแล้วก็โพสต์มาให้ทางทวิตเตอร์ ผมยังไม่เห็นเนื้อข่าวอะไรมากมาย ผมก็โทร.กลับไปหาทางผู้ใหญ่ ทางผู้ใหญ่เขาก็งงว่าไหนบอกว่าเคลียร์กันจบแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วอยู่ดีๆ ทำไมเกิดเหตุการณ์ประเด็นนี้ขึ้นมา ผมก็ถามว่าจะให้ผมทำยังไง เพราะผมโดนยับมาก พอไปอ่านในอินเตอร์เน็ตโอ้โหโดนยับมากๆ เลย”
“ผู้ใหญ่เขาก็บอกว่าถ้ามีโอกาสได้สัมภาษณ์ หรือถ้ามีโอกาสพูดตอบโต้ไป ก็พูดในส่วนของตัวเราเอง แต่อย่าลืมให้เกียรติน้องเขาด้วย เพราะยังไงน้องเขาก็เป็นผู้หญิง และผมเป็นผู้ชาย จะมาทะเลาะกับผู้หญิงมันก็ไม่ใช่ ซึ่งผมก็คิดมาตั้งแต่แรกแล้วว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทำไมถึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ จริงๆ ผมว่ามันน่าจะจบตอนน้องยกหูโทร.คุยกับผู้ใหญ่แล้วอย่างนั้นมากกว่า แต่พอมาให้ข่าวแบบนี้มันก็เอ๊ะดูเหมือนไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่ทางฝั่งผมหรือเปล่า อันนี้คือสิ่งที่ผมอยากจะพูดบ้าง”
เชื่อ “ชาม” คงได้รับฟังข่าวมาแบบผิดเพี้ยนไปจากเดิม เพราะเหตุการณ์นี้ผ่านมาเป็นปีแล้วจริงๆ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีการเอามาพูดจนเป็นข่าวอย่างนี้อีก
“ผมยอมรับว่าผมผิดจริงนะ แต่ถ้าเกิดน้องเขาบอกว่า เขาเป็นแฟนรายการของผมมาตั้งแต่อยู่ไฮสคูล ตั้งแต่เด็กๆ น้องจะไม่รู้เชียวหรือว่าลักษณะการจัดรายการ การพูดคุยอะไรของผมมันเป็นยังไง ผมก็แค่แซว แต่อาจจะแซวแรงไปนิดนึงก็ไม่แน่ใจ อารมณ์ส่วนนั้นมันอาจจะพาไป แต่ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายพูดพาดพิงให้น้องเขาเสียหาย หรือว่าทำให้น้องเขาเจ็บช้ำน้ำใจอะไรเลย แต่ที่ผมฟังน้องเขาพูด น้องเขาอาจจะได้ยินมาจากแฟนคลับเขา อ่านจากทวิตเตอร์ แล้วมันอาจจะมีการแปลงสาร อาจจะมีการสื่อสารที่มันผิดเพี้ยนไปแล้ว แต่จริงๆ แล้วผมไม่ได้ต้องการให้มันเป็นประเด็นให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียงอะไรมากมายขนาดนั้นเลย มันเป็นการพูดขำๆ พูดแซวๆ”
“ซึ่งมันไม่ใช่เป็นประเด็นใหญ่ ถ้าเกิดว่าน้องได้ฟังจากหูน้องจริงๆ ไม่ใช่ฟังมาจากแฟนคลับหรือไปอ่านตามเว็บบอร์ด หรือใครที่เข้าไปโพสต์อย่างนั้นมากกว่า แต่ยังไงก็ตามแต่มันไม่ใช่ประเด็นครับ สุดท้ายแล้วผมก็เป็นผู้ชายแล้วเขาเป็นผู้หญิง หน้าที่ของผู้ชายก็คือต้องให้เกียรติผู้หญิงอยู่ดี ผมก็อยากให้จบตรงนี้ จริงๆ มันน่าจะจบตั้งแต่น้องยกหูโทร.คุยกับผู้ใหญ่แล้ว มันไม่น่าจะยืดเยื้อจนมีข่าวเป็นที่รู้กันในวงกว้างขนาดนี้ ซึ่งผมก็จบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และผมก็ไม่รู้ว่าข่าวนี้ใครเป็นคนหยิบขึ้นมาพูด ใครเป็นคนหยิบไปบอกนักข่าว อันนี้ผมไม่แน่ใจ ก็ให้คนที่ฟังสัมภาษณ์ของผมลองไปคิดดูเองก็แล้วกัน ว่ามันน่าจะมาจากตรงไหนมากกว่ากัน”
“แต่เหตุการณ์นี้ก็เหมือนที่น้องพูดคือผ่านมาปีกว่าๆ แล้ว แต่มันเพิ่งจะมีข่าวเมื่อไม่กี่วันนี่เอง ถ้าถามผมว่าทำไมถึงเพิ่งมีข่าว ผมคิดว่าอาจจะเป็นที่มีคนเข้าไปคุยกันในอินเตอร์เน็ตหรืออะไรก็ตามแต่อย่างนั้นมากกว่า ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมมันถึงมาแดงตอนนี้ทั้งๆ ที่มันนานมากแล้วจริงๆ ครับ แล้วประเด็นนี้รู้กันวงแคบมาก ผมว่านักข่าวไม่มีทางรู้หรอก นี่ผมก็ยังนั่งคิดอยู่เหมือนกันว่าใครเป็นคนบอกนักข่าว และข่าวนี้เกิดขึ้นมามันเพราะอะไรกันแน่ อันนี้ก็คงต้องให้คุณผู้ชม ผู้ฟังตัดสินใจกันเอาเองแล้วกันว่ามันยังไง”
“ผมยอมรับว่าผมเองก็มีโพสต์ระบายในทวิตเตอร์บ้างครับ แต่อาจจะคุยกับเพื่อนมากกว่า แต่ข้อความที่มันเป็นการอ่านประโยคหรือวลีบอกเล่ากับน้ำเสียงเวลาที่เรามีอารมณ์มันต่างกันมาก เพราะฉะนั้นเรื่องของทวิตเตอร์ผมว่าน่าจะเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นและน้ำหนักกันมากกว่า ทีนี้ก็เป็นบทเรียนสอนใจผมว่าผมก็ต้องระวังในเรื่องของคำพูดของผมเหมือนกัน ถ้ามาถึงจุดนี้แล้ว เพราะผมทำงานเป็นดีเจอยู่ที่นี่มาจะ 10 ปีอยู่แล้ว ผมไม่เคยมีปัญหากับใครเลย ผมไม่ใช่ดารา ผมเป็นแค่ดีเจ เพราะฉะนั้นผมมองว่าการที่มีเหตุการณ์นี้ก็ให้คุณผู้ชม คุณผู้ฟังตัดสินใจกันเอาเองก็แล้วกันว่าเหตุการณ์จริงๆ มันเป็นยังไง เพราะลำพังผมแล้วผมไม่เคยมีปัญหากับใครเลยตั้งแต่อยู่วงการนี้มา 10 ปี”
“แต่ผมก็รู้สึกเสียใจนิดนึงเกี่ยวกับข่าวที่พาดหัวมา ผมตกใจมากก็คือจั่วว่าผมไร้จรรยาบรรณ ซึ่งผมก็ทำอาชีพนี้มาตั้งแต่ผมยังเด็ก 17 ปีแล้ว คำว่าจรรยาบรรณกับวิชาชีพผมรู้สึกว่ามันหนักนะสำหรับผม เพราะผมก็นั่งตรงนี้มานานมากแล้ว จรรยาบรรณกับนักวิชาชีพการจัดรายการมันค่อนข้างจะซีเรียสนิดนึงสำหรับผม คำนั้นแหละที่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้วนะ แล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นการให้ข่าวฝ่ายเดียวและไม่มีสิทธิ์ตอบโต้สำหรับผม”
“แต่มาดูอีกทีนึงน้องไปให้สัมภาษณ์นักข่าวอย่างนั้น ผมก็มีสิทธิ์ตอบโต้เหมือนกัน เพราะว่าจรรยาบรรณมันมีหลายรูปแบบ จรรยาบรรณกับวิชาชีพดีเจโอเคน้องพูดอย่างนั้นถูก แต่ว่าจรรยาบรรณอย่างอื่นล่ะครับ นางงามต้องมีจรรยาบรรณไหมครับ หรือว่าดารา หรืออะไรทุกอย่างก็ต้องมีจรรยาบรรณเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
ยืนยันไม่คิดเกาะกระแสอีกฝ่ายดัง เพราะตนก็เป็นแค่ดีเจ และคิดว่าเหมาะกับอาชีพนี้ที่สุดแล้ว บอกต่างคนต่างเอาเวลาไปพัฒนาฝีมือด้านของตนดีกว่า
“แต่ถามว่าผมอยากจะเกาะกระแสน้องดังหรือเปล่า ผมก็รู้ว่าทุกคนต้องถามแน่ๆ แต่ผมอยากจะบอกว่าผมเป็นแค่ดีเจ ผมไม่ได้เป็นเซเลบ ไม่ได้เป็นดารา ไม่ได้เป็นนักร้อง การมีข่าวกับผู้หญิงแน่นอนว่าผมเสียเปรียบอยู่แล้วเพราะผมเป็นผู้ชาย ยังไงผมก็ต้องโดนหนักอยู่แล้วว่าทำไมไม่ให้เกียรติผู้หญิง ทีนี้ผมจะดังไปเพื่ออะไรล่ะครับ”
“ผมว่าผมเป็นดีเจดีที่สุดและเหมาะกับผมมากที่สุดแล้วเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมว่าเรามาเป็นเกาเหลาคนละชามกันดีกว่าไหม น้องก็เป็นในส่วนของน้อง น้องไปพัฒนาการแสดงของน้องให้ดีๆ กว่า ส่วนผมก็ไปพัฒนาการเป็นดีเจของผมให้ดีๆ กว่า ผลประโยชน์จะได้ตกอยู่ที่คนฟังและคนชม จะได้รู้สึกว่าแต่ละคนก็คืนกำไรคืนความสุขให้คนฟัง ผมว่ามองไปที่ประเด็นนั้นดีกว่า จะมามองว่าผมอยากเกาะกระแสน้องดัง เฮ้ย มันไม่ใช่นะ”
“แต่ถ้าบทสัมภาษณ์ของผมออกไป แล้วน้องเขามีการตอบโต้กลับมา คือน้องเขาบอกว่ามันจบแล้วไม่ใช่เหรอครับ ผมก็แค่ได้พูดในส่วนของผมแค่นี้ก็พอแล้วเหมือนกัน เพราะผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่างจากน้องเขามากมายเหมือนกัน แต่อาจจะมีบางอย่างที่น้องเขาพูดไม่หมด เช่นมันน่าจะจบแต่น้องก็ไม่จบ แล้วทำไมถึงต้องพูดกับสื่อทั้งๆ ที่คุยกับผู้ใหญ่แล้ว ก็ให้เกียรติผู้ใหญ่ผมหน่อย อันนี้คือสิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญ เพราะผมก็ต้องให้เกียรติผู้ใหญ่ผมด้วย ผมต้องคุยกับผู้ใหญ่ คุยกับเจ้านายผมเหมือนกันครับ”
“ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมเป็นช่วงราหูอมหรือเปล่าไม่แน่ใจเหมือนกัน(หัวเราะ) เพราะช่วงนี้นานาเขาไปเยี่ยมคุณพ่อเวย์ที่ต่างประเทศพอดี ผมก็เลยหัวเดียวกระเทียมลีบเลย ลำพังผมเป็นดีเจตัวเล็กๆ ครับ ไม่รู้จักใครหรอก นักข่าวผมก็ไม่รู้จัก นอกจากมีติดต่อเข้ามาก็ได้คุยกันบ้างผมก็รู้สึกดี เพราะถ้าจะให้ผมไปหานักข่าวบันเทิงผมก็ไม่รู้จักใคร ผมก็แค่ดีเจบอยคนนึงที่จัดรายการอยู่ที่ 95.5 เวอร์จิ้น ฮิตเท่านั้นเอง ไม่มีเส้น ไม่มีสาย ไม่มีอะไรเลย ช่วงนี้ก็เลยไม่ค่อยได้คุยกับนานามากเพราะเขาอยู่ต่างประเทศ แต่กลับมาก็คงจะได้อัพเดทกันมากขึ้น”
“แต่ตอนที่น้องเขายกหูมาคุยกับผู้ใหญ่ ตอนนั้นได้คุยกับนานา นานาเขาก็บอกว่าต้องทำตามผู้ใหญ่ เพราะต้องเคารพกฎระเบียบของที่นี่ด้วยเหมือนกัน เหมือนนานาเป็นตัวกลางก็ได้ เพราะนานาเขาก็เข้าใจเพราะวันที่เกิดเรื่องขึ้นปุ๊บผมก็เข้าไปคุยกับนานา ก็ยังหัวเราะสนุกสนานกันอยู่เลย ก็พูดได้ว่านานาเป็นพยานให้ผมได้ พูดได้เต็มปากเลยร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกันครับ ว่านานาเป็นพยานให้ผมได้เหมือนกันว่าเหตุการณ์ทั้งหมดมันเกิดอะไรขึ้น”
เผย หลังจากเหตุการณ์วันนั้นก็ไม่ได้เจอกับ “ชาม” อีกเลยแม้ว่าจะทำงานอยู่ตึกเดียวกันก็ตาม แต่บอกถ้าเจอก็พร้อมเข้าไปขอโทษโดยตรง
“แต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้นก็ไม่ได้เจอน้องเขาอีกเลยครับ เพราะผมก็คิดว่ามันจบแล้วไง แต่ปรากฏ อ้าว วันนึงเซอร์ไพรส์เขาให้สัมภาษณ์สื่อ ผมก็เลยงง ก็ฝากไว้ด้วยว่าให้เกียรติผู้ใหญ่ของผมนิดนึง แต่ถ้าบังเอิญเจอกันก็ไม่เป็นไรครับ บอกแล้วว่ารู้จักกันแล้ว ผมเป็นผู้ชาย น้องเขาเป็นผู้หญิง จะให้ผมขอโทษน้องผมก็กล้านะ ผมก็ต้องพูดว่าขอโทษครับ ที่ผ่านมาผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ ที่จะทำให้น้องรู้สึกเสื่อมเสียหรืออะไรก็ตามแต่ ผมก็ต้องพูดคำว่าขอโทษอยู่ดีครับ”
“แต่ถามว่า คิดว่าน้องเขาปั่นกระแสหรือเปล่า อันนี้ผมไม่พูดดีกว่า ให้คุณผู้ชมเป็นคนตัดสินใจกันเอง เพราะนี่เป็นเรื่องที่รู้กันเล็กๆ ในวงแคบและมันควรจะจบแล้ว แต่ว่าผมดูในคลิปและนักข่าวเป็นคนยื่นสัมภาษณ์น้องเขา แต่ผมไม่รู้ว่านักข่าวรู้มาจากไหน รู้มาได้ยังไง ผมก็ยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์เหมือนกันว่าไม่ได้มาจากฝั่งผมแน่ๆ เพราะว่าผมก็คุยกับผู้ใหญ่ของผมแล้วเหมือนกัน อันนี้คุณผู้ชมก็ไปคิดกันเอาเองแล้วกันนะ ว่ามันน่าจะหลุดมาจากฝั่งไหน แต่ผมยืนยันว่าไม่ใช่ฝั่งผม”
“ฟีดแบคก็มีทางทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คที่เข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะปกติผมไม่เป็นข่าวอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นข่าว ผมเป็นแค่ดีเจตัวเล็กๆ คนนึงที่จัดรายการอยู่ที่นี่ ไม่มีทางจะไปวีนใคร ไม่มีทางจะไปเหวี่ยงใคร ไม่มีทางจะไปเป็นข่าวกับใครแน่ๆ แล้วอยู่ดีๆ ก็มาเกิดขึ้นกับผม ผมก็ได้แต่งงอย่างเดียว เรื่องนี้ก็ต้องพูดวกกลับไปที่เดิมคือเคลียร์แล้ว จบแล้ว แต่ทำไมถึงเป็นข่าว นี่คือสิ่งที่ผมคิดและงงซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ตอนนั้นก็มีคนทวิตมาหาผม แต่ผมก็ยังไม่ได้อัพเดทข่าวที่มันชัดเจนอะไรมากมายนัก ณ เวลานั้นน่ะครับ”
“ก็ได้กำลังใจเยอะจากในทวิตเตอร์ของผมนะครับ เพราะผมคงเป็นคนซื่อๆ มั้ง ไม่น่าจะมีเรื่องกับใคร แฟนคลับก็เข้าใจ และแฟนคลับที่ฟังผมอยู่ทุกวันก็เข้าใจบุคลิกของผม เข้าใจความเป็นตัวตนของผมทุกอย่างว่าผมเป็นคนยังไง ก็เซอร์ไพรส์เหมือนกันว่าเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกับดีเจบอย แต่ต่อไปนี้ก็อาจจะระวังคำพูดมากขึ้น ก็ฝากด้วยแล้วกันว่าเด็กใต้อย่างผมก็ใจเต็มขนาดนี้ ไอ้เรื่องจะไปเหวี่ยงใคร จะไปวีนใครอะไรมากมาย แต่ก็ต้องระวังคำพูดให้มากขึ้น นี่คือบทเรียนชิ้นใหญ่ของผมเลยทีเดียว”
“ถ้าเกิดกลับไปแก้ได้ก็อยากจะกลับไปแก้ แต่มันแก้ไม่ได้แล้ว ถ้าผมพูดอะไรออกไปแล้วรู้สึกกระทบกระเทือน หรือพาดพิงถึงน้องเขาให้น้องเขาไม่สบายใจ ผมก็ขอโทษไว้ ณ ตรงนี้ก็แล้วกัน ถึงแม้น้องจะย้ำชัดว่าไม่ต้องขอโทษเพราะเราไม่รู้จักกัน ก็ย้ำเหมือนกันว่าตอนนี้รู้จักกันแล้วเนอะ(ยิ้ม)”
No comments:
Post a Comment