สมัยนี้เข้าตำราของแท้แพ้ของเทียม เรื่องการศัลยกรรมเลยไม่ใช่สิ่งที่แปลกประหลาดอีกต่อไป ยิ่งในช่วงหลังมานี้ การเอาชนะความแก่ แก้จุดบกพร่อง ด้วยการศัลยกรรมก็มีให้เห็นกันมากขึ้น ลามไปถึงกลุ่มวัยรุ่นและเด็กที่อายุยังไม่ถึง 15 ปีด้วยซ้ำ ซึ่งทางดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรมจิตแพทย์ชื่อดังได้กล่าวถึงการเสพติดศัลยกรรมว่าเป็นภาวะที่สังคม กำลังป่วยอย่างหนัก เพราะเชื่อว่าความสวยหล่อเป็นสิ่งที่สร้างความสุขได้ แต่แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นการฆ่าตัวตายทางอ้อมมากกว่า
“สังคมทุกวันนี้บอกว่าความสุขต้องเกิดขึ้นถ้ามีเงินทอง ชื่อเสียง อำนาจ และสุดท้ายคือความสวยความห่อ มันถึงเลยเป็นแบบนี้กันไปทั่วโลกเลย ในเอเชียเราที่เห็นชัดก็เกาหลี ญี่ปุ่น สร้างความเชื่อว่าถ้าไม่สวยก็ตายดีกว่า ผู้ชายสมัยนี้ก็เป็นเหมือนกัน ยิ่งตอนนี้มันลามไปถึงเด็กในวัยที่ไม่สมควรจะทำแล้วด้วย ผมว่าคนเป็นพ่อแม่ไม่ควรจะยัดเยียดมากเกินไป และต้องให้การศึกษากับเด็กๆ ให้มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะในสถานศึกษา เราต้องปลูกฝังกันได้แล้ว เพราะพ่อแม่สมัยนี้ เด็กบางคนก็ไม่เชื่อฟังหรอกครับ แต่พอเป็นครูอาจารย์ เขาจะมีความเกรงใจมากกว่า และเชื่อมากกว่า เพราะไม่ได้เห็นกันทุกวันเหมือนพ่อแม่ นอกจากนี้สิ่งที่ต้องเข้ามาช่วยก็คือสื่อต่างๆ เพราะทุกวันนี้ผมมองว่ายังไม่ค่อยให้ความร่วมมือที่ดีมากพอนะ และก็ชอบนำเสนอแต่ภายนอก ให้เห็นแต่ความสวยหล่อ จนสังคมมองว่าสิ่งนี้มันทำให้คนเรามีความสุข”
เรื่องการศัลยกรรมทุกวันนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางทางอารมณ์ของ คนในสังคมได้ชัดเจนมาก เพราะจิตแพทย์ชื่อดังอธิบายว่า ส่วนใหญ่แล้วพวกที่มีความสุขกับการทำศัลยกรรมจนถึงขั้นเสพติดนั้น มักจะเป็นอาการของโรคสะเทือนขวัญ หรือ Trauma
“การศัลยกรรมนั้นมันไม่ใช่แค่เรื่องสวยหล่อ จึงไม่ได้มีความจำเป็นมากที่จะต้องทำ มันมีผลเสียมากกว่าผลดี เพราะร่างกายคนเราเมื่อได้รับสารแปลกปลอมเข้าไป มันจะไปทำร้ายเซลล์เหมือนเป็นการฆ่าตัวเองตายทีละส่วน ซึ่งอาการนี้เขาเรียกว่า Trauma หรือสิ่งที่คุกคามเข้าไปในเซลล์ประสาทเราคิดว่าทำแล้วสวย แต่ไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นการทำร้ายตัวเองมากที่สุดในชีวิตเรา”
จะเป็นเพราะความไม่รู้จักพอ หรือเพราะต้องการเสริมบุคลิกให้ตัวเองดูดีขึ้นก็ตาม แต่การทำศัลยกรรมไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ก็ควรนึกถึงความเหมาะสมในด้านต่างๆด้วย อย่างล่าสุดกรณีของเด็กหญิงวัย 8 ขวบ ซึ่งนาง Kerry Campbell ผู้เป็นแม่ฉีดโบท็อกซ์ให้ทุกๆ 3เดือน ก็คืออีก 1 คนที่เป็นเหยื่อการเสริมความงามที่ผิด เพราะด้วยวัยที่ยังไม่มีความจำเป็นในการฉีด ซึ่งจากกรณีนี้ ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงค่านิยมในสังคมที่นับวันมองเรื่องการศัลยกรรมเป็นเรื่องที่ใครทำก็ได้ อย่างนั้นหรือ?
ความคิดพิสดารในเรื่องการทำศัลยกรรมไม่ว่าจะผ่าตัด หรือการฉีด ยังไม่ใช่แค่เพื่อเสริมความสวย สร้างความพอใจให้ตัวเองเท่านั้น เพราะบางคนเลือกใช้วิธ๊นี้ในการเลียนแบบไอดอลของตัวเอง สาวอเมริกันหลายคนยอมเจ็บ และยอมเสียสมบัติอันล้ำค่าที่พ่อแม่ให้มาตั้งแต่เกิดอย่างใบหน้าตัวเอง เพื่อเปลี่ยนให้เหมือนดารา หรือบุคคลที่ตัวเองคลั่งไคล้ ซึ่งผลการทำจะออกมาดูสวยสง่า หรือสวยสยองก็ต้องตัดสินกันเอาเอง
ด้วยความคลั่งไคล้ในตัวของสาวแองเจลีน่า โจลี่ คุณแม่ลูกแฝด 8 คน Nadya Sulemanที่เคยโด่งดังงอยู่ช่วงนึง เลยจัดการโมดิฟายหน้าตัวเองใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เหมือนดาราสาวแองจี้มากที่สุด
Nileen Namita วัย 49 ปี ขอสวยแบบสาวอียิปต์ยุคโบราณด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนโฉมตัวเองให้เหมือนราชินีเนเฟอติติ ที่ได้รับการยกย่องว่าสวยเหมือนนางฟ้า แต่หลักฐานที่เห็นก็มีเพียงรูปปั้นของพระนางเท่านั้น หมอเลยจัดการก๊อปปี้หน้ารูปปั้นจนเหมือนเปีะๆ ให้เธอสมใจ
ก่อนทำ
หลังทำ
ใช่ว่าจะมีแต่คนที่คิดทำศัลยกรรมพิสดารกันอย่างด้วย เพราะจริงๆแล้วการทำศัลยกรรมนั้นเป็นการรักษาผู้ป่วยที่สูญเสียอวัยวะ หรือมีความบกพร่องทางร่างกาย การสัลยกรรมจึงเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติให้มากที่สุด อาจไม่ 100 % แต่อย่างน้อยก็ทำให้สภาพจิตใจของเขาดีขึ้นได้ ซึ่งล่าสุดที่ทางทีมแพทย์ของโรงพยาบาล Brigham and Women’s ในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ก็ประสบความสำเร็จกับการผ่าตัดสร้างใบหน้าให้กับนายดัลลัส เวนส์ ใหม่ หลังจากที่เขาต้องทนทุกข์ทรมานกับการเป็นคนไร้ใบหน้า จากการถูกไฟช้อตจนไหม้ จนสูญเสียอวัยวะบนใบหน้าทั้งหมด
ขอบคุณ
ไทยรัฐ
สมัยนี้เข้าตำราของแท้แพ้ของเทียม เรื่องการศัลยกรรมเลยไม่ใช่สิ่งที่แปลกประหลาดอีกต่อไป ยิ่งในช่วงหลังมานี้ การเอาชนะความแก่ แก้จุดบกพร่อง ด้วยการศัลยกรรมก็มีให้เห็นกันมากขึ้น ลามไปถึงกลุ่มวัยรุ่นและเด็กที่อายุยังไม่ถึง 15 ปีด้วยซ้ำ ซึ่งทางดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรมจิตแพทย์ชื่อดังได้กล่าวถึงการเสพติดศัลยกรรมว่าเป็นภาวะที่สังคม กำลังป่วยอย่างหนัก เพราะเชื่อว่าความสวยหล่อเป็นสิ่งที่สร้างความสุขได้ แต่แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นการฆ่าตัวตายทางอ้อมมากกว่า
“สังคมทุกวันนี้บอกว่าความสุขต้องเกิดขึ้นถ้ามีเงินทอง ชื่อเสียง อำนาจ และสุดท้ายคือความสวยความห่อ มันถึงเลยเป็นแบบนี้กันไปทั่วโลกเลย ในเอเชียเราที่เห็นชัดก็เกาหลี ญี่ปุ่น สร้างความเชื่อว่าถ้าไม่สวยก็ตายดีกว่า ผู้ชายสมัยนี้ก็เป็นเหมือนกัน ยิ่งตอนนี้มันลามไปถึงเด็กในวัยที่ไม่สมควรจะทำแล้วด้วย ผมว่าคนเป็นพ่อแม่ไม่ควรจะยัดเยียดมากเกินไป และต้องให้การศึกษากับเด็กๆ ให้มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะในสถานศึกษา เราต้องปลูกฝังกันได้แล้ว เพราะพ่อแม่สมัยนี้ เด็กบางคนก็ไม่เชื่อฟังหรอกครับ แต่พอเป็นครูอาจารย์ เขาจะมีความเกรงใจมากกว่า และเชื่อมากกว่า เพราะไม่ได้เห็นกันทุกวันเหมือนพ่อแม่ นอกจากนี้สิ่งที่ต้องเข้ามาช่วยก็คือสื่อต่างๆ เพราะทุกวันนี้ผมมองว่ายังไม่ค่อยให้ความร่วมมือที่ดีมากพอนะ และก็ชอบนำเสนอแต่ภายนอก ให้เห็นแต่ความสวยหล่อ จนสังคมมองว่าสิ่งนี้มันทำให้คนเรามีความสุข”
เรื่องการศัลยกรรมทุกวันนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางทางอารมณ์ของ คนในสังคมได้ชัดเจนมาก เพราะจิตแพทย์ชื่อดังอธิบายว่า ส่วนใหญ่แล้วพวกที่มีความสุขกับการทำศัลยกรรมจนถึงขั้นเสพติดนั้น มักจะเป็นอาการของโรคสะเทือนขวัญ หรือ Trauma
“การศัลยกรรมนั้นมันไม่ใช่แค่เรื่องสวยหล่อ จึงไม่ได้มีความจำเป็นมากที่จะต้องทำ มันมีผลเสียมากกว่าผลดี เพราะร่างกายคนเราเมื่อได้รับสารแปลกปลอมเข้าไป มันจะไปทำร้ายเซลล์เหมือนเป็นการฆ่าตัวเองตายทีละส่วน ซึ่งอาการนี้เขาเรียกว่า Trauma หรือสิ่งที่คุกคามเข้าไปในเซลล์ประสาทเราคิดว่าทำแล้วสวย แต่ไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นการทำร้ายตัวเองมากที่สุดในชีวิตเรา”
จะเป็นเพราะความไม่รู้จักพอ หรือเพราะต้องการเสริมบุคลิกให้ตัวเองดูดีขึ้นก็ตาม แต่การทำศัลยกรรมไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด ก็ควรนึกถึงความเหมาะสมในด้านต่างๆด้วย อย่างล่าสุดกรณีของเด็กหญิงวัย 8 ขวบ ซึ่งนาง Kerry Campbell ผู้เป็นแม่ฉีดโบท็อกซ์ให้ทุกๆ 3เดือน ก็คืออีก 1 คนที่เป็นเหยื่อการเสริมความงามที่ผิด เพราะด้วยวัยที่ยังไม่มีความจำเป็นในการฉีด ซึ่งจากกรณีนี้ ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงค่านิยมในสังคมที่นับวันมองเรื่องการศัลยกรรมเป็นเรื่องที่ใครทำก็ได้ อย่างนั้นหรือ?
ความคิดพิสดารในเรื่องการทำศัลยกรรมไม่ว่าจะผ่าตัด หรือการฉีด ยังไม่ใช่แค่เพื่อเสริมความสวย สร้างความพอใจให้ตัวเองเท่านั้น เพราะบางคนเลือกใช้วิธ๊นี้ในการเลียนแบบไอดอลของตัวเอง สาวอเมริกันหลายคนยอมเจ็บ และยอมเสียสมบัติอันล้ำค่าที่พ่อแม่ให้มาตั้งแต่เกิดอย่างใบหน้าตัวเอง เพื่อเปลี่ยนให้เหมือนดารา หรือบุคคลที่ตัวเองคลั่งไคล้ ซึ่งผลการทำจะออกมาดูสวยสง่า หรือสวยสยองก็ต้องตัดสินกันเอาเอง
ด้วยความคลั่งไคล้ในตัวของสาวแองเจลีน่า โจลี่ คุณแม่ลูกแฝด 8 คน Nadya Sulemanที่เคยโด่งดังงอยู่ช่วงนึง เลยจัดการโมดิฟายหน้าตัวเองใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เหมือนดาราสาวแองจี้มากที่สุด
Nileen Namita วัย 49 ปี ขอสวยแบบสาวอียิปต์ยุคโบราณด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนโฉมตัวเองให้เหมือนราชินีเนเฟอติติ ที่ได้รับการยกย่องว่าสวยเหมือนนางฟ้า แต่หลักฐานที่เห็นก็มีเพียงรูปปั้นของพระนางเท่านั้น หมอเลยจัดการก๊อปปี้หน้ารูปปั้นจนเหมือนเปีะๆ ให้เธอสมใจ
ก่อนทำ
หลังทำ
ใช่ว่าจะมีแต่คนที่คิดทำศัลยกรรมพิสดารกันอย่างด้วย เพราะจริงๆแล้วการทำศัลยกรรมนั้นเป็นการรักษาผู้ป่วยที่สูญเสียอวัยวะ หรือมีความบกพร่องทางร่างกาย การสัลยกรรมจึงเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติให้มากที่สุด อาจไม่ 100 % แต่อย่างน้อยก็ทำให้สภาพจิตใจของเขาดีขึ้นได้ ซึ่งล่าสุดที่ทางทีมแพทย์ของโรงพยาบาล Brigham and Women’s ในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ก็ประสบความสำเร็จกับการผ่าตัดสร้างใบหน้าให้กับนายดัลลัส เวนส์ ใหม่ หลังจากที่เขาต้องทนทุกข์ทรมานกับการเป็นคนไร้ใบหน้า จากการถูกไฟช้อตจนไหม้ จนสูญเสียอวัยวะบนใบหน้าทั้งหมด
ขอบคุณ
ไทยรัฐ
No comments:
Post a Comment